รายงานนี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศแบบธรรมชาติในด้านการบรรเทาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ความท้าทายในการลงทุนด้านการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศแบบธรรมชาติ และโอกาสในการทำธุรกิจแบบเจาะจงประเทศ

 

ประเทศสิงคโปร์ – 9 ธันวาคม พ.ศ. 2563 – องค์กรอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมนานาชาติ (Conservation International), ธนาคารแห่งชาติสิงคโปร์ (DBS Bank), มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (National University of Singapore) และบริษัทเทมาเส็ก (Temasek) ได้ร่วมกันตีพิมพ์รายงานเรื่อง กรณีธุรกิจกับการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศแบบธรรมชาติ: ข้อมูลเชิงลึกและโอกาสในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (The Business Case for Natural Climate Solutions: Insights and Opportunities for Southeast Asia) โดยมีการนำเสนอรายงานฉบับนี้ในช่วงหนึ่งของการประชุมเสมือนจริงที่เรียกว่า การเจรจาอีโคสเปอริที (Ecosperity Conversations) ซึ่งเป็นหนึ่งในชุดการอภิปรายที่มุ่งเน้นด้านความยั่งยืน จัดขึ้นโดยบริษัทเทมาเส็ก

 

รายงานนี้เป็นงานวิจัยที่จัดทำเป็นครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยชี้ให้เห็นโอกาสที่ธุรกิจต่าง ๆ จะลงทุนในการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศแบบธรรมชาติ (Natural Climate Solutions: NCS) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการบรรเทาปัญหาสภาพภูมิอากาศที่ควบคุมกระบวนการทางธรรมชาติเพื่อลดหรือกำจัดก๊าซเรือนกระจก เพื่อกระตุ้นการนำ NCS ไปใช้ในวงกว้าง นอกจากนี้ รายงานยังนำเสนอประเด็นที่ธุรกิจต่าง ๆ นำไปปฏิบัติได้ เพื่อประเมินโอกาสของ NCS และมีส่วนร่วมกับภาครัฐในภูมิภาค

 

“เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศแบบธรรมชาติในวงกว้าง เราต้องร่วมมือกันทั้งภาครัฐและเอกชนในการปรับใช้เงินทุนและรักษาทุนทางธรรมชาติ รายงานฉบับนี้รวบรวมมุมมองต่างๆ จากผู้มีบทบาทในหลายภาคส่วนเพื่อกำหนดกรณีการลงทุนสำหรับการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศแบบธรรมชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นภูมิภาคหนึ่งที่เป็นอ่างเก็บคาร์บอนทั้งทางพื้นดิน
และทะเลที่มีปริมาณมากที่สุด” โรบิน ฮู หัวหน้ากลุ่มความยั่งยืนและการให้การดูแลจากเทมาเส็กกล่าว

 

กรณีทางธุรกิจสำหรับ NCS

จากข้อมูลของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) คาดการณ์ว่าอุณหภูมิทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 1.5 องศาเซลเซียสในระหว่างปี พ.ศ. 2573 ถึง 2595 ซึ่งจะก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบในระยะยาวต่อระบบธรรมชาติและมนุษย์ ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นและมีอัตราการเกิดเหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรงและเลวร้ายเพิ่มขึ้น[1]

 

งานวิจัยหลายฉบับแสดงให้เห็นว่า NCS มีบทบาทสำคัญในการบรรเทาผลกระทบที่ร้ายแรงเหล่านี้ ด้วยผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการบรรเทาปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 1.1 หมื่นล้านตันต่อปี NCS สามารถบรรเทาผลกระทบที่จำเป็นได้กว่าหนึ่งในสาม เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายของความตกลงปารีสภายในปี พ.ศ. 2573[2] แต่กระนั้น การเงินเพื่อสภาพภูมิอากาศทั่วโลกที่ NCS ได้รับกลับมีไม่ถึง 3% ซึ่งเป็นสัญญาณให้ทราบว่าต้องมีการลงทุนเพื่ออุดช่องว่างทางการเงินที่จำเป็นสำหรับ NCS ในการยกระดับและไปให้ถึงเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศในปัจจุบันที่รัฐบาลประเทศต่าง ๆ เป็นผู้กำหนด เพื่อให้สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนลงจนเป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2593 รายงานฉบับใหม่เน้นย้ำถึงบทบาทที่ธุรกิจต่างๆ สามารถมีส่วนช่วยลดช่องว่างนี้ควบคู่ไปกับผลประโยชน์ที่ธุรกิจต่าง ๆ จะได้รับดังต่อไปนี้

 

  • ภาคเอกชนได้รับผลประโยชน์ที่สำคัญและโดดเด่นในฐานะผู้ลงทุนใน NCS เมื่อเทียบกับภาครัฐ ภาคเอกชนมักจะสามารถ
    ปรับใช้กลุ่มการลงทุนขนาดใหญ่กว่าได้อย่างรวดเร็วมากกว่าและมีความเสี่ยงจะกระทบกระเทือนทางการเมืองน้อยกว่า นอกจากนี้ ภาคเอกชนยังมีทักษะในการพัฒนาแบบจำลองที่คุ้มค่าซึ่งในด้านการเงินพึ่งพาตนเองได้

 

  • ด้วยความเร็วและขนาดของความสามารถในการปรับใช้เงินทุน ธุรกิจต่าง ๆ จึงอยู่ในตำแหน่งที่โดดเด่นในการเร่งให้เกิด
    การลงทุนใน NCS และกระตุ้นตลาดคาร์บอนที่เฟื่องฟูโดยการซื้อสิ่งชดเชย นอกจากนี้ เพื่อให้มั่นใจว่าตลาดคาร์บอน
    ที่เกิดขึ้นได้ผลจริง ธุรกิจต่าง ๆ ควรให้เครดิตคุณภาพสูงและราคาที่เป็นธรรม สนับสนุนการออกแบบ และต้นทุนการพัฒนา รวมทั้งมีส่วนร่วมในการพัฒนาและให้ความช่วยเหลือด้านนโยบาย

 

  • โครงการ NCS ต่าง ๆ เทียบได้กับตัวเลือกทางวิศวกรรม (เช่น เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน) ในแง่ของต้นทุนและผลตอบแทนการลงทุน แต่ดีกว่ามากเมื่อพิจารณาจากประโยชน์ด้านอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับคาร์บอน เช่น ผลลัพธ์ด้านสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม โครงการ NCS ต่างๆ จะสร้างผลกระทบเชิงบวกได้มากอันนอกเหนือจากประเด็นด้านคาร์บอนเพียงอย่างเดียว เมื่อมีการนำใช้พร้อมการป้องกันที่เหมาะสม เช่น การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และนิเวศบริการแก่ชุมชนในท้องถิ่น เช่น การจัดหาน้ำจืด อาหาร และการบรรเทาความเสี่ยง
    จากภัยพิบัติ

 

  • เราสามารถลดความเสี่ยงจากโครงการ NCS ผ่านการให้ความช่วยเหลือด้านนโยบาย การปรับใช้เทคโนโลยี การรวมกันชนทางต้นทุน และการมีส่วนร่วมของชุมชนล่วงหน้า

“เราจะพบว่าระบบนิเวศที่มีคาร์บอนสูงที่สุดในโลกหลายแห่ง ทั้งป่าเขตร้อน พื้นที่ดินพรุ และป่าชายเลน อยู่ในเอเชียนี่เอง ธรรมชาติมอบเทคโนโลยีที่ดีที่สุดและคุ้มค่าที่สุดสำหรับกำจัดคาร์บอนออกจากชั้นบรรยากาศ แต่กลับมีเงินทุนไม่มาก
แม้ว่าจะมีการจัดทำข้อตกลงด้านสภาพภูมิอากาศระดับองค์กรใหม่ ๆ ขึ้นทุกวัน รายงานฉบับนี้มอบแนวทางการดำเนินงานที่ชัดเจนสำหรับการลงทุนโดยตรงในการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศแบบธรรมชาติ” ดร. ริชาร์ด โจ รองประธานอาวุโสขององค์กรอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมนานาชาติ ฝ่ายพื้นที่เอเชีย-แปซิฟิก กล่าว

 

โอกาสของ NCS ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ผลประโยชน์จาก NCS ที่มีต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเป็นที่จับตามอง เนื่องจากภูมิภาคแห่งนี้มีป่าดิบชื้นที่กว้างใหญ่ รวมทั้งมีจำนวนต้นโกงกางและหญ้าทะเลที่หนาแน่น ประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้จึงมีเงื่อนไขที่ดียิ่งในการลงทุนด้าน NCS และการนำไปใช้ทั้งกับคาร์บอนทางพื้นดินและทางทะเล รวมถึงศักยภาพมหาศาลสำหรับคาร์บอนที่ลงทุนได้ อาทิ งานวิจัยฉบับใหม่จากศูนย์การแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศอิงตามธรรมชาติของมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (NUS Centre for Nature-based Climate Solutions) ในปีนี้แสดงให้เห็นว่า การปกป้องป่าเขตร้อนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อาจทำให้เกิดผลตอบแทนการลงทุนได้สูงถึง 2.75 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในหนึ่งปี

 

มีความคืบหน้าอย่างมากในการใช้และปลุกเร้าให้เกิด NCS ในประเทศต่าง ๆ ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลายประเทศกำลังพัฒนากฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญในการสนับสนุนให้มีการผนวก NCS ไว้ในระเบียบเหล่านั้น โดยในหน้าที่ 61-64 ของรายงานระบุถึงการวิเคราะห์ระดับของแต่ละประเทศ ที่ประเมินนโยบายการลงทุนด้าน NCS ที่สำคัญที่สุด รวมถึงโอกาสการมีส่วนร่วมทางนโยบายในการยกระดับ NCS

 

นอกจากการปกป้องป่า การปลูกป่าก็เป็นการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศอีกประการหนึ่งที่มีส่วนช่วยบรรเทาปัญหาสภาพภูมิอากาศที่เป็นไปได้มากทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม้กระทั่งหลังจากที่พิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น ข้อจำกัดทางชีวกายภาพ การเงิน และการใช้ที่ดินแล้ว การปลูกป่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ยังมีส่วนช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่เป็นไปได้ระหว่าง 0.4 ถึง 0.5 พันล้านตันต่อปี[3] ในบรรดาระบบนิเวศต่างๆ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถือว่ามีความหนาแน่นสูงด้านการคาดการณ์ทางคาร์บอนสำหรับการลงทุนด้าน NCS รวมถึงคาร์บอนทั้งทางพื้นดินและทางทะเล

 

“การบรรเทาปัญหาสภาพภูมิอากาศที่เป็นไปได้และการผลตอบแทนทางการเงินของ NCS เทียบได้กับการแก้ไขปัญหาโดยการบรรเทาทางวิศวกรรม หากพิจารณาผลประโยชน์ร่วมอื่นๆ ที่มาจาก NCS เช่น อากาศและน้ำที่สะอาด ความสามารถในการฟื้นตัวของชายฝั่ง การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ การคุ้มครองความมั่นคงทางอาหาร และการป้องกันน้ำท่วม จะเห็นว่า NCS ให้ผลประโยชน์มากกว่า” ศาสตราจารย์โกห์ เหลียน ปิน ผู้อำนวยการศูนย์การแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศอิงตามธรรมชาติของมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ กล่าว

 

การผลักดัน NCS ให้มีบทบาท

รายงานชี้ให้เห็นการดำเนินการห้าด้านที่ช่วยให้ธุรกิจต่าง ๆ นำ NCS ไปใช้

 

  • การลงทุนใน NCS และสิ่งชดเชยควรเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศที่กว้างขึ้น ซึ่งรวมถึงการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน โดยมุ่งเป้าที่จะทำให้เป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2593 ตามความตกลงปารีส

 

  • ภาคเอกชนมีบทบาทที่ไม่เหมือนใครและสำคัญในการยกระดับ NCS โดยประกอบด้วยการซื้อและการให้เครดิตคาร์บอนคุณภาพสูง การสนับสนุนการพัฒนาแบบจำลองทางธุรกิจ และนวัตกรรมทางเทคนิคสำหรับการออกแบบ การดำเนินการ และการตรวจสอบความถูกต้องของโครงการ รวมทั้งการสนับสนุนการจัดลำดับความสำคัญของรัฐบาลในระดับชาติและเขตอำนาจศาล นั่นรวมถึงการปรับให้สอดคล้องกับกรอบการทำงานระดับประเทศซึ่งเป็นกรอบที่เกิดขึ้นใหม่สำหรับ NCS และการให้ความชัดเจนด้านการเป็นเจ้าของเครดิตเพื่อไม่ให้มีการนับซ้ำ

 

  • บริษัทต่างๆ ควรใช้ราคาต่อเมตริกตันที่โปร่งใสซึ่งสนับสนุนโครงการที่ยั่งยืนและ “คุณภาพสูง”

 

  • การลงทุนในการวิเคราะห์เชิงพื้นที่เชิงลึกตามหลักวิทยาศาสตร์เพื่อหาขอบเขตทั้งหมดของทั้ง NCS และผลประโยชน์ร่วมที่ได้รับ จะช่วยรับรองถึง ROI ที่ดีขึ้นและตรงเป้าหมายมากขึ้น ช่วยประเมินผลกระทบ และอาจเรียกราคาที่สูงขึ้นได้

 

  • คาร์บอนทางทะเลเป็นโอกาสหลักในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ก็ยังมีการนำเสนอในตลาดคาร์บอนอยู่น้อย เนื่องจากมีศักยภาพในการยกระดับที่จำกัดและข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ ธุรกิจต่าง ๆ จึงควรค้นหาและกำหนดพื้นที่
    เป้าหมายที่จะสร้างผลประโยชน์ร่วมได้มากที่สุด

มิคเคิล ลาร์เซน ประธานกรรมการด้านความยั่งยืนของธนาคารแห่งชาติสิงคโปร์กล่าวว่า “การแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศแบบธรรมชาตินำเสนอวิธีการที่ดึงดูดในการจัดการกับแนวโน้มที่เป็นภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และความพยายามโดยรวมในกลุ่มผู้มีบทบาททั้งภาครัฐและเอกชนเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้เรื่องนี้บรรลุผล ด้วยวิทยาศาสตร์ นักลงทุน และหน่วยโครงสร้างอื่น ๆ ของระบบนิเวศที่กำลังเข้าที่เข้าทางนี้ ตอนนี้เราจึงมาถึงจุดเปลี่ยนที่เราสามารถกระตุ้นการเติบโตและผลักดันการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมากโดยมีการผสานการลงทุน นวัตกรรม และความเชี่ยวชาญของภาคเอกชน ภาคเอกชนจำเป็นต้องพิจารณาผลประโยชน์ของชุมชนที่ตนรับใช้มากกว่าที่เคย แทนการมุ่งเน้นไปที่ผู้ถือหุ้นเป็นหลัก สิ่งนี้ไม่เพียงเป็นการทำสิ่งที่ถูกต้อง แต่ยังทำให้ธุรกิจต่าง ๆ อยู่ในจุดที่เหมาะสมต่อการบรรเทาความเสี่ยงที่เป็นเป็นไปได้ และคว้าโอกาสในเขตแดนใหม่นี้ ที่ธนาคารแห่งชาติสิงคโปร์ เรามุ่งมั่นสนับสนุนการพัฒนาความร่วมมือและกรอบการทำงานทางอุตสาหกรรม ที่จะช่วยปูทางไปสู่อนาคตที่ยืดหยุ่นและยั่งยืนยิ่งขึ้น”

สามารถดูรายงานฉบับเต็มได้ที่ https://bit.ly/3lTaBuz

 

สำหรับข้อสงสัยด้านสื่อ กรุณาติดต่อ:

 

องค์กรอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมนานาชาติ (Conservation International)

เอ็มเมอลีน โยฮันเซน

ผู้อำนวยการด้านการสื่อสาร

องค์กรอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมนานาชาติ เอเชีย-แปซิฟิก

โทรศัพท์: +64 27 779 3401

อีเมล: ejohansen@conservation.org

 

ธนาคารแห่งชาติสิงคโปร์ (DBS Bank)

อแมนดา ฟง

ฝ่ายการตลาดและการสื่อสารกลยุทธ์กลุ่ม

โทรศัพท์: +65 68782272/ +65 97209747

อีเมล: amandaf@dbs.com

 

มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (National University of Singapore)

เดนิส หยวน                                                            

ผู้จัดการสำนักงานการสื่อสารประจำมหาวิทยาลัย                                    

มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์       

โทรศัพท์: +65 6516 4470

อีเมล: denise.yuen@nus.edu.sg

 

จาง เจีย

หัวหน้าฝ่ายการสื่อสาร ศูนย์การแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศอิงตามธรรมชาติ

มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์       

โทรศัพท์: +65 6601 2370

อีเมล: zhang-jie@nus.edu.sg

 

เทมาเส็ก

เซลีน โกห์
ผู้จัดการฝ่ายการสื่อสาร
สำนักงานโครงการอีโคสเปอริที
โทรศัพท์: +65 6828 2299/ +65 9753 0547
อีเมล: celine.koh@temasekfoundation.org.sg

 

[1] IPCC. (2018). IPCC, 2018: Summary for Policymakers (Global Warming of 1.5°C. An IPCC Special Report on the Impacts of Global Warming of 1.5°C above Pre-Industrial Levels and Related Global Greenhouse Gas Emission Pathways, in the Context of Strengthening the Global Response to the Threat of Climate Change, Sustainable Development, and Efforts to Eradicate Poverty)

[2] Griscom, B. W., Busch, J., Cook-Patton, S. C., Ellis, P. W., Funk, J., Leavitt, S. M., Lomax, G., Turner, W. R., Chapman, M., Engelmann, J., Gurwick, N. P., Landis, E., Lawrence, D., Malhi, Y., Schindler Murray, L., Navarrete, D., Roe, S., Scull, S., Smith, P., … Worthington, T. (2020). National mitigation potential from natural climate solutions in the tropics. Philosophical Transactions of the Royal Society B: Biological Sciences, 375(1794), 20190126. https://doi.org/10.1098/rstb.2019.0126

[3] Y. Zeng, T.V. Sarira, L.R. Carrasco, K.Y. Chong, D.A. Friess, J.S.H. Lee, P. Taillardat, T.A. Worthington, Y. Zhang, L.P. Koh. 2020. Economic and social constraints on reforestation for climate mitigation in Southeast Asia. Nature Climate Change 10:842–844.