3 พฤศจิกายน 2563, กรุงเทพฯ: SEED ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือระดับโลกเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนของผู้ประกอบการได้สรุปปัจจัยด้านความสามารถในการปรับตัวที่สำคัญหกประการเพื่อให้กลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมรวมถึงกลุ่ม Micro (MSME) ของประเทศไทยอยู่รอดในช่วงการระบาดของโควิด-19 โดยมีความยืดหยุ่นและความยั่งยืนเป็นองค์ประกอบหลัก
รายงานล่าสุดระบุว่าธุรกิจของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมรวมถึงกลุ่ม Micro (MSME) ทั่วโลกราว 42% อาจประสบภาวะขาดทุนภายในหกเดือนข้างหน้า เนื่องจากผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเนื่องจากสถาณการณ์เศรษฐกิจภายในประเทศที่ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตและสภาพทางสังคมของไทยกำลังตกอยู่ในความเสี่ยง แผน 6 ข้อของ SEED จึงมีเป้าหมายเพื่อชี้นำผู้ประกอบการธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับวิธีการสร้างความสามารถในการปรับตัวต่อความท้าทายในอนาคตและรับมือกับสิ่งที่ไม่เคยประสบมาก่อน แผนดังกล่าว ได้แก่ ความสามารถในการปรับตัวในเชิงธุรกิจ (Business Resilience) ความสามารถในการปรับตัวด้านการเงิน (Financial Resilience) ความสามารถในการปรับตัวขององค์กร (Organisational Resilience) ความสามารถในการปรับตัวต่อระบบนิเวศ (Ecosystem Resilience) ความสามารถในการปรับตัวตามภาวะตลาด (Market Resilience) และความสามารถในการปรับตัวเพื่อสร้างผลกระทบ (Impact Resilience)
ผู้เริ่มต้น (Starters) ผู้พัฒนา (Movers) และผู้เป็นเลิศ (Champions) ด้านการปรับตัวในทัศนะของ SEED SEED ต้องการกระตุ้นให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมรวมถึงกลุ่ม Micro (MSME) ปรับตัวและตอบสนองในรูปแบบที่ต่างออกไปเพื่อให้ทรงตัวอยู่ได้ และเตรียมพร้อมล่วงหน้าเพื่อรับมือกับช่วงเวลาที่ยากลำบากที่อาจพบเจอ โดยระบุว่าองค์กรที่มีความสามารถในการปรับตัวนั้นมีอยู่สามประเภท โดยมีตั้งแต่ผู้ที่อยู่รอดได้ไปจนถึงบริษัทที่เติบโตได้ดี ผู้เริ่มต้น (Starters) สามารถทำงานได้ในสภาวะปกติ แต่ประสบปัญหาข้อจำกัดเกี่ยวกับเงินสดและการพึ่งพาตลาดในช่วงการแพร่ระบาด) ผู้พัฒนา (Movers) ทำการปรับเปลี่ยนในหลายระดับและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสร้างความสามารถในการปรับตัวต่อผลกระทบเชิงลบ ผู้เป็นเลิศ (Champions) เปลี่ยนแปลงผลงานผลิตภัณฑ์หรือบริการของตน โดยอาจเปลี่ยนกระบวนการขององค์กรให้ประสบความสำเร็จในช่วงวิกฤต
|